Knowledge

KPIs ใช้วัดอดีตหรือวางแผนอนาคต

โพสต์เมื่อ 8 กันยายน 2558

KPIs ใช้วัดอดีตหรือวางแผนอนาคต

 

     ในปัจจุบันนี้ เรามีช่องทางต่างๆมากมายในการทำ KPIs เพื่อเป็นเครื่องมือในการวัดความก้าวหน้าของแต่ละองค์กร ซึ่งแนวทางในการทำงานของ KPIs ส่วนมากนั้นมักเป็นการดูในภาพอดีตว่าแต่ละองค์กรทำอะไรมาบ้าง ทั้งนี้ Ron Baker ผู้เขียนหนังสือ “Measure What Matters” ได้เสนอแนวความคิดว่า การทำ KPIs นั้น ไม่ใช่แค่การมองกลับไปที่ในอดีตเพียงอย่างเดียว เราต้องมี KPIs ที่สามารถช่วยในการวัดและช่วยตัดสินใจว่าเราควรดำเนินการอย่างไรต่อไปในอนาคตระยะยาว

 

     โดยในที่นี้เราจะเปรียบเทียบตัวชี้วัด 2 ตัวด้วยกัน คือ Lag Indicators กับ Lead Indicators ซึ่ง Lag Indicators นั้นคือ ดัชนีวัดผลที่เกิดขึ้นแล้วจากการปฏิบัติงาน จะบอกเฉพาะในส่วนของเหตุการณ์ในอดีต บอกในสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งจะไม่มีการบอกถึงแนวทางในการปฏิบัติงานในอนาคตได้ แต่ Lead Indicators จะช่วยให้เรามองเห็นภาพในอนาคตได้ว่าองค์กรควรเดินไปในแนวทางไหน

     การให้ความสำคัญกับ Lead Indicators เช่นในกรณีของบริษัท 3M ที่จะให้พนักงานต้องมีเวลา 20 % ของเวลาการทำงานทั้งหมด ในการทำวิจัยและพัฒนา ซึ่งสิ่งนี้แปลว่า 3M เค้าเล็งเห็นว่าการยอมสียเวลาของพนักงานและค่าใช้จ่ายต่างๆที่อาจต้องเพิ่มขึ้นในการทำวิจัยและพัฒนา ย่อมส่งผลดีต่อการสร้างมูลค่าระยะยาวให้แก่องค์กร เพราะหาก 3M มองแค่ในระยะสั้น มองแต่เพียงผลการดำเนินงานที่ผ่านมา เน้นในเรื่องของผลกำไร-ขาดทุน แล้วก็วางแผน แค่เพียงให้บรรลุวัตถุประสงค์ในแต่ละปี นั่นอาจไม่ทำให้ 3M เป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่และเติบโตมาได้ยาวนานขนาดนี้ เนื่องจากการวางแผนระยะยาวเพื่อสร้างมูลค่าให้กับองค์กรในระยะยาวนั้น มีต้นทุนที่สูงมาก ในขณะที่หลายๆองค์กรให้ความสำคัญที่ Financial Statement ซึ่งเป็นการใช้ Lag Indicators คือดูจากผลการปฏิบัติงาน เมื่อพบว่าบริษัทไม่มีกำไร หรือกำไรน้อย จึงมีการวางแผนแก้ไข และนั่นอาจส่งผลให้องค์กรเติบโตได้อย่างช้า ดังนั้นหากองค์กรต้องการวางรากฐานที่จะส่งผลดีในระยะยาว จึงควรนำ Lead Indicators เข้ามาใช้เพื่อเป็นมาตรการในการวัดหรือตัวกำหนดการสร้างมูลค่าในองค์กร และส่งผลต่ออนาคตทางธุรกิจ

(อ้างอิง: Steve Major, Lead versus Lag; Future versus Past)